ฝ้าคืออะไร เกิดได้ยังไง ป้องกัน และรักษาด้วยวิธีไหนจึงจะได้ผลดี

ฝ้าคืออะไร เกิดได้ยังไง ป้องกัน และรักษาด้วยวิธีไหนจึงจะได้ผลดี

ฝ้า หรือ Melasma เป็นปัญหาผิวหนังพื้นฐานมากๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องใหม่ เพราะเป็นปัญหาผิวที่เกิดได้กับทุกคนโดยเฉพาะในผู้หญิง แต่ถึงฝ้าจะเป็นปัญหาผิวปกติก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนเกิดความกังวลและขาดความมั่นใจ ในตัวเอง บ้างก็แต่งหน้ากลบ บ้างก็หายาทา หรือหาวิธีต่างๆในการรักษา ถึงแม้ฝ้าจะเป็นเพียงปัญหาผิวทั่วไป และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายก็ตาม แต่การทำความเข้าใจสาเหตุ ประเภท และวิธีการรักษาฝ้าอย่างถูกต้อง ไม่ส่งผลเสียต่อผิว จะทำให้การรักษาฝ้า มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่มีปัญหาผิวไหม้ ผิวบาง หรือเกิดปัญหาผิวอื่นๆตามมาภายหลัง

บริเวณที่มักจะเกิดฝ้า
บริเวณที่มักจะเกิดฝ้า

ฝ้าคืออะไร? 

ฝ้า คือ ภาวะที่ผิวหนังที่มีการผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) ออกมามากผิดปกติ เมื่อเมลานินถูกผลิตออกมามากเกินกว่าปกติที่ผิวหนังสมควรได้รับก็จะกลายเป็นรอยปื้นบนผิว มีสีน้ำตาลอ่อนไล่ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ในบางคนสีเทาอมน้ำเงิน หรืออาจปะปนกันออกไป

เม็ดสีเมลานินเป็นเม็ดสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ร่างกายของคนเราจะผลิตเมลานินขึ้น เพื่อช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีจากแสงแดดและปัจจัยอื่นๆ เมื่อเม็ดสีเมลานินถูกกระตุ้นในปริมาณที่มากเกินไป หรือมีการทำงานที่ผิดปกติไป ก็จะทำให้เกิดฝ้าบนผิวหนังบริเวณต่างๆได้

เรามักจะเป็นฝ้าบริเวณใบหน้าเนื่องจากเป็นอวัยวะนอกร่มผ้าทำให้เจอแสงแดดที่เป็นตัวกระตุ้นเป็นประจำ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก คาง และจมูก นอกจากนี้ ลำคอ แขน หรือหน้าอก ที่เป็นส่วนที่สามารถเจอกับแสงแดดได้ก็สามารถมีฝ้าได้เช่นกัน

สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า
สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า

สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า

ฝ้าบนผิวนั้นเกิดจากหลากหลายปัจจัยเป็นองค์ประกอบและทำงานร่วมกัน ดังนั้นเวลาดูแลรักษาจะต้องดูแลรักษาอย่างครอบคลุม เพื่อให้เป็นทั้งการรักษาและป้องกันควบคู่กันไปในตัว และปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า หลักๆมีดังนี้

1. แสงแดด (Sun Exposure)

แสงแดดโดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอเลต (UVA และ UVB) นับเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า การให้ใบหน้าสัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นการโดนแดดโดยตรง โดนแดดแบบผ่านกระจกหรือโดนแดดโดยอ้อมวิธีต่างๆ ผิวหนังของเราจะเกิดการกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) และยังทำให้เมลานินถูกสร้างเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้การสร้างขึ้นของเมลานินในปริมาณมากๆจะส่งผลให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีที่เข้มมากขึ้น มีความหนามากขึ้น และยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างฝ้าใหม่ขึ้นได้

ทั้งนี้ แสงที่เราเจอเป็นประจำอย่างแสงไฟ แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์ (Visible Light, Blue Light) ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน

 

2. ฮอร์โมน (Hormonal Changes)

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกายนั้นส่งผลเป็นอย่างมากต่อการเกิดฝ้า แล้วสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้เกิดความเปลี่ยนแปลง

  • การตั้งครรภ์เนื่องจากในระหว่างการตั้งครรภ์ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะเพิ่มสูงมากขึ้น จึงไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีนั่นเองโดยฝ้าประเภทนี้จะเรียกกันว่า “หน้ากากคนท้อง” (Mask of Pregnancy หรือ Chloasma)  ฝ้าจากการตั้งครรภ์มักจะจางลงหลังคลอดบุตรตามธรรมชาติ 
  • การรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Estrogen and Progesterone) จะสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ในบางราย เนื่องจากยาคุมก็คือฮอร์โมนประเภทหนึ่ง
  • สตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีการใช้ฮอร์โมนทดแทน ชนิดต่างๆก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าจากการรับประทานฮอร์โมนเสริมได้

 

3. พันธุกรรม (Genetic Predisposition)

ฝ้านับเป็นอาการติดต่อทางพันธุกรรม ดังนั้นหากมีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า เช่น พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง ก็จะสามารถเป็นฝ้าได้เช่นกัน

 

4. ยาบางชนิดและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Certain Medications and Skincare Products)

การใช้ยา วิตามิน ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งแบบทา และแบบรับประทานที่ส่งผลต่อการระคายเคืองของผิว หรือทำให้ผิวไวต่อแสง

  • ยาที่ทำให้เกิดภาวะไวต่อแสง (Photosensitizing Drugs)

เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาขับปัสสาวะ หรือยารักษาโรคบางชนิด 

  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำให้เกิดการระคายเคือง

การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการผลัดผิว กัดผิว  หรือทำให้เกิดการระคายเคือง จะมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่การผลิตเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติได้ 

 

5. ความร้อน (Heat)

นอกจากแสงแดดที่มีความร้อนแล้ว ความร้อน จากสภาพอากาศ หรือจากการใช้ชีวิตประจำวัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถกระตุ้นฝ้าได้ เช่น ความร้อนจากการทำอาหาร การออกกำลังกายในที่ร่มแต่มีไอแดด หรือการใช้ชีวิตในอากาศที่ร้อนจัด

 

สัญญาณของการเกิดฝ้า

เมื่อเกิดฝ้าบนใบหน้า จะสามารถสังเกตได้อย่างง่ายทันที เนื่องจากโดยทั่วไปจะเห็นฝ้าเป็น ปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม หรือมีสีเทาอมน้ำเงิน มีรูปร่างลักษณะที่ไม่สม่ำเสมอ และมักจะเป็นแบบ สมมาตร คือจะขึ้นทั้งสองข้างของใบหน้าในตำแหน่งที่คล้ายกัน ซึ่งตำแหน่งที่พบฝ้าได้บ่อยคือ

  • บริเวณแก้ม
  • หน้าผาก
  • เหนือริมฝีปาก
  • จมูก
  • คาง

หากส่องกระจกทุกวัน การมีเม็ดสีที่ไม่ปกติขึ้นบนผิวหน้าจะเป็นเรื่องที่สังเกตได้โดยง่าย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ต้องกังวล เนื่องจากฝ้า ไม่มีอาการเจ็บ ปวด แสบ ร้อน หรือคันเป็นอาการข้างเคียง จะมีแต่ความกังวลในด้านความสวยความงามเท่านั้น

ฝ้า ถูกแบ่งออกเป็น 3  ประเภท
ฝ้า ถูกแบ่งออกเป็น 3  ประเภท

ฝ้า ถูกแบ่งออกเป็น 3  ประเภท

การแบ่งประเภทของฝ้า แบ่งขึ้นเพื่อการแพทย์ และการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละประเภทโดยจะแบ่งจากระดับความลึกของเม็ดสีที่สะสมอยู่ในผิวหนัง ดังนี้

1. ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)

  • จะมีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ที่ผิวหนังชั้นบนสุดคือหนังกำพร้า หรือ Epidermis
  • มักมีสีของฝ้าในระดับน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม เห็นเส้นขอบของฝ้าค่อนข้างชัดเจน
  • เป็นฝ้าที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีที่สุด เนื่องจากยังไม่เป็นมาก มีเม็ดสีสะสมอยู่ใต้ผิวไม่ลึกมากนัก

2. ฝ้าลึก (Dermal Melasma)

  • จะมีเม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ในผิวหนังชั้นลึก คือชั้นหนังแท้ หรือ Dermis
  • มักมีสีของฝ้าเป็นสีเทาอมน้ำเงิน หรือน้ำตาลอมเทา จะมีขอบของฝ้าที่ไม่ชัดเจนนัก
  • เป็นฝ้าที่จะรักษายากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเม็ดสีเมลานินฝังอยู่ลึก แพทย์อาจต้องทำการรักษาร่วมกันโดยใช้หลายวิธี ทั้งใช้เลเซอร์ และใช้ยาทาร่วมกันไป

3. ฝ้าผสม (Mixed Melasma)

  • เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นฝ้าที่มีการสะสมของเม็ดสีทั้งในผิวหนังชั้นตื้นและชั้นลึก
  • มักมีสีของฝ้าที่เป็นการผสมกันระหว่างสีน้ำตาลและสีเทา
  • การรักษาต้องมีความครอบคลุมทั้งเม็ดสีในชั้นตื้นและชั้นลึก มักต้องใช้การรักษาร่วมกันแพทย์อาจต้องทำการรักษาร่วมกันโดยใช้หลายวิธี ทั้งใช้เลเซอร์ และใช้ยาทาร่วมกันไป
วิธีการรักษาฝ้าเบื้องต้น
วิธีการรักษาฝ้าเบื้องต้น

วิธีการรักษาฝ้าเบื้องต้น

 โดยทั่วไป การรักษาฝ้าด้วยตัวเองจะสามารถทำได้ดังนี้ หากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ เพื่อวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง

1. การปกป้องผิวจากแสงแดด (Sun Protection)

การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม ควรป้องกันผิวจากแสงแดดให้ได้มากที่สุดโดยการ

  • เลือกครีมกันแดดชนิดที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA+++ หรือสูงกว่า ควรทาครีมกันแดดในปริมาณที่เพียงพอและทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่ออยู่กลางแจ้ง หรือมีเหงื่อออกมากเช่นการเล่นกีฬา 
  • สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และเสื้อผ้าแขนยาวขายาวเมื่อต้องออกแดด
  • พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลาที่แดดแรงที่สุด คือระหว่าง 10.00 น. – 16.00 น.

 

2. ยาทาเฉพาะที่ (Topical Medications)

ทายารักษาฝ้าที่มีส่วนผสมในการช่วยลดการสร้างเม็ดสี เช่น

  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)

เป็นยามาตรฐานในการรักษาฝ้า ทำงานโดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งสำคัญต่อการสร้างเม็ดสี กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid): ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบที่นำไปสู่การสร้างเม็ดสี และลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี มีทั้งรูปแบบยาทาและยารับประทาน

  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid)

เป็นยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีและช่วยต้านการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวบอบบางหรือไม่สามารถใช้ยาไฮโดรควิโนนได้

  • เรตินอยด์ (Retinoids)

เป็นยาที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เม็ดสีที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังเกิดการหลุดลอกออก และยังช่วยในการลดการผลิตเม็ดสีเมลานินได้ด้วย

  • กรดโคจิก (Kojic Acid) และอาร์บูติน (Arbutin)

เป็นสารที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสเช่นกัน แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าไฮโดรควิโนน

  • วิตามินซี (Vitamin C)

 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดจุดด่างดำ

 

*ยาทุกชนิดควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป

 

3. ยารับประทาน (Oral Medications)

หากจะใช้ยารับประทานในการรักษาฝ้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยก่อนเท่านั้น

 

4. การทำหัตถการทางการแพทย์ (In-office Procedures)

หากต้องการรักษาฝ้าภายใต้ความปลอดภัย และต้องการเห็นผลเร็วขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้โปรแกรมรักษาฝ้า ดังนี้

  • กลุ่มเลเซอร์และแสง (Lasers and Light Therapy)
    • Q-switched Nd:YAG Laser: นิยมใช้ในการรักษาฝ้า โดยปล่อยพลังงานแสงในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อทำลายเม็ดสีโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง
    • Picosecond Laser: เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าและส่งพลังงานรวดเร็วกว่า Q-switched จึงทำให้เกิดการแตกตัวของเม็ดสีได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดความร้อนสะสม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาฝ้า
  • กลุ่มการทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)

การใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid, Salicylic Acid หรือ TCA ในความเข้มข้นที่เหมาะสมในการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ ทำให้ฝ้าจางลง 

  • ข้อดี: ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดเม็ดสี และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ข้อควรระวัง: อาจเกิดการระคายเคือง แดง ลอก หรือรอยดำชั่วคราวได้ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม

*วิธีดังกล่าวควรทำและได้รับคำแนะนำโดยแพทย์ เท่านั้นเพื่อป้องกันการเสี่ยงอันตรายในการรักษา และเพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดฝ้า
ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดฝ้า

5. การดูแลผิวประจำวันและการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นการเกิดฝ้า

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง หรือทำให้ผิวระคายเคือง
  • หาทางจัดการกับความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เนื่องจากความเครียดสามารถส่งผลต่อฮอร์โมน ซึ่งอาจให้ฝ้าแย่ลงได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพผิวที่ดีขึ้น

ถึงแม้ฝ้าจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่กลับเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและสร้างความกังวลใจให้กับหลายคน การเข้าใจสาเหตุ ปัจจัยกระตุ้น และประเภทของฝ้า จะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาและดูแลฝ้าด้วยตัวเองได้อย่างเหมาะสมในเบื้องต้น

แต่การปรึกษาแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว จะเป็นการดูแลที่ไม่อันตราย เห็นผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จนผิวบาง ฝ้าหนา ให้คิดเสมอว่าการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ง่ายกว่าการแก้ปัญหา

» Switch Languages