เราได้ยินคำเตือนกันมาก็หลายครั้งว่าทุกการผ่าตัด มักอาจส่งผลให้เกิดการเป็นแผลคีลอยด์ หรืออย่าทำอย่างนั้นนะ อย่ากินของแสลงอันนี้นะ จะทำให้เป็นแผลเป็นคีลอยด์ แต่ความจริงแล้วนั้น แผลเป็นคีลอยด์นั้นเกิดขึ้นจากอะไร สามารถรักษาได้ไหม และห้ามรับประทานสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะจะทำให้เกิดคีลอยด์จริงหรือไม่ ในบทความนี้มีคำตอบ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักคำว่าคีลอยด์ หรือแผลเป็นคีลอยด์กันก่อนว่าคืออะไร

แผลเป็นคีลอยด์ คืออะไร ?
คีลอยด์หรือแผลเป็นคีลอยด์นั้น เป็นกลุ่มรอยแผลชนิดหนึ่ง ที่มีความนูนขึ้นมาอย่างชัดเจนมากกว่าแผลปกติ และมีการขยายตัวกว้างกว่าแผลเดิมที่เป็นอยู่ โดยในแต่ละคนจะมีแผลเป็นคีลอยด์ที่มีความแตกต่างกันออกไป อาจเกิดจากลักษณะสีผิว หรือเม็ดสีในร่างกาย บางคนจะมีแผลเป็นคีลอยด์ที่มีสีแดง สีคล้ำ ในบางคนจะมีสีเหมือนอาการช้ำร่วมด้วย อาจมีอาการคัน ตึง หรือเจ็บผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลเป็นคีลอยด์ร่วมด้วยได้ และแผลเป็นประเภทคีลอยด์นี้ ไม่ส่งผลอันตรายใดใดต่อร่างกาย แต่มักส่งผลกระทบในด้านจิตใจ บางคนอาจคิดว่าตัวเองไม่สวยเหมือนก่อนแล้ว หรือคิดว่าผิวของตนมีตำหนิก็มี

แผลเป็นคีลอยด์เกิดจากอะไร?
มาทำความเข้าใจ และหาสาเหตุการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเองกัน โดยสาเหตุการเกิดแผลเป็นคีลอยด์คือ
ร่างกายของคนเราเมื่อมีบาดแผล จะมีกระบวนการต่างๆเกิดขึ้น ตั้งแต่ตอนยังเป็นแผลอยู่ ไปจนถึงแผลหายและเริ่มฟื้นฟูแผล
- คือกระบวนการหยุดเลือด หรือ Hemostasis Phase โดยร่างกายของเราจะใช้เกล็ดเลือดของตัวเองที่ไหลออกมาในการห้ามเลือดที่ออกจากบาดแผล
- คือกระบวนการอักเสบ หรือ Inflammatory Phase โดย เซลล์เม็ดเลือดขาว จะเข้ามาทำการทำลายเชื้อโรครวมทั้งยังกำจัดเซลล์ที่เกิดการตายแล้วเพื่อเป็นการทำความสะอาดบาดแผลให้สะอาด ไม่เน่า ไม่อักเสบ
- คือกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อทดแทน หรือ Proliferative Phase เป็นขั้นตอนหลักของกระบวนการฟื้นฟูแผล อันประกอบไปด้วยการสร้างเส้นเลือดใหม่,การสร้างเนื้อเยื่อพังผืด ,การสร้าง ,การสร้างเยื่อบุผิว รวมทั้งการสะสมของเส้นใยคอลลาเจน
- คือกระบวนการปรับสมดุลโครงสร้างของแผล หรือ Remodeling Phase, Maturation Phase โดยแผลของเราจะเกิดการปรับการเรียงตัวของเส้นใยคอลลาเจนที่แผลและเกิดการหดตัวของแผล ทำให้แผลของเราค่อยๆหดตัวลง และเล็กลง เรียบขึ้นในที่สุด
โดยแผลเป็นคีลอยด์ นั้นเกิดจากความผิดปกติในขั้นตอนการสร้างเนื้อเยื่อทดแทน เนื่องจากมีการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนและคอลลาเจนที่แผลที่มากจนเกินไป จึงทำให้เกิดความไม่สมดุลของคอลลาเจนที่แผลจึงส่งผลให้แผลที่เป็นอยู่เกิดเป็นแผลเป็นที่มีความนูนนั่นเอง

แผลเป็นคีลอยด์ มีความอันตรายหรือไม่ ?
แผลเป็นคีลอยด์เป็นสิ่งที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการรักษาแผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของร่างกาย ตามที่กล่าวไปข้างต้นว่า ร่างกายมีการสร้างเนื้อเยื่อรวมทั้งคอลลาเจนที่ใช้ในการรักษาบาดแผลที่มากจนเกินความพอดีของแผล จึงมักไม่ส่งผลอันตราย แต่อาจมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยน รูปร่างจนทำให้เกิดความไม่มั่นใจตามมาได้ ไม่ได้เป็นมะเร็งผิว หรือเป็นก้อนเนื้ออันตรายอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ
ปัจจัยที่ทำให้เป็นแผลเป็นคีลอยด์
สามารถจำแนกปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ดังนี้
- เชื้อชาติ แผลเป็นคีลอยด์มักเป็นในผู้ที่มีผิวสี มากกว่าผู้ที่มีผิวขาว หรือมีผิวเหลือง
- พันธุกรรม แผลเป็นคีลอยด์ มักเกิดในผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นมาก่อน และหากเคยเป็นตอนเด็กๆมาแล้ว ควรระวังเนื่องจากอาจเกิดได้อีกในอนาคต
- บริเวณที่เป็นแผล แผลเป็นคีลอยด์ มักเกิดได้ในบริเวณผิวหนังที่มีการตึง หรือรั้งมากเป็นพิเศษ เช่นบริเวณ หัวไหล่ หน้าอก หรือหลังส่วนบน ติ่งหู กระดูกอ่อนใบหู ที่เกิดจากการเจาะหู ก็ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้เช่นกัน

วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์
เมื่อรู้ถึงสาเหตุ และบริเวณที่มักเกิดแผลเป็นคีลอยด์แล้ว มาทราบถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์กัน โดยสามารถป้องกันได้ดังนี้
- ดูแลตัวเอง ไม่ให้เป็นแผลในบริเวณที่ผิวหนังมีความตึงเป็นพิเศษ โดยผู้ที่เคยเป็นแผลเป็นคีลอยด์แล้วจะเป็นผู้ที่สามารถเป็นได้อีก
- ให้เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่การเป็นแผลในช่วงแรก เนื่องจากกระบวนการรักษาแผลของร่างกายจะทำงานทันทีที่ร่างกายเกิดการเป็นแผล หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล การลูบ ถู แคะ แกะ สะเก็ดแผล เพราะพฤติกรรมดังกล่าว ส่งผลต่อการซ่อมแซมผิวของร่างกาย
- ในผู้ที่เป็นแผลอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีน้ำเหลืองร่วมด้วย จะทำให้แผลหายช้ามากขึ้น และจะทำให้เป็นแผลเป็นคีลอยด์ได้ ควรทายา หรือปรึกษาแพทย์ร่วมด้วยเพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์
- เมื่อเข้าสู่กระบวนการแผลแห้ง ควรใช้ยารักษารอยแผลเป็นชนิดต่างๆ หรือยาที่มีส่วนช่วยให้แผลมีความชุ่มชื้น เพื่อลดการอักเสบ และส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมผิว
เราสามารถรักษาแผลเป็นคีลอยด์ได้ด้วยตัวเองหรือไม่
นอกเหนือจากการดูแลไม่ให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์แล้ว เรายังสามารถรักษาแผลเป็นคีลอยด์เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
เมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะเป็นแผลเป็นคีลอยด์ หรือแผลเป็นที่มีเริ่มมีความนูนขึ้นมาเล็กน้อย สามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง โดยการใช้ Silicone gel หรือพลาสเตอร์ลดรอยแผลเป็น ปิดที่แผลบริเวณที่ต้องการได้ เพื่อไม่ให้เซลล์ที่แผลขยายตัวและมีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถใช้ร่วมกับยาที่ให้ความชุ่มชื้นของผิวหนัง โดยการปิดแผลไว้ตลอด สามารถแกะได้แค่เฉพาะเวลาที่อาบน้ำเท่านั้น เพื่อเป็นการสร้างความชุ่มชื้นให้กับแผล ก่อนที่แผลจะมีขนาดที่ใหญ่ นูนมาก และแข็ง ขึ้นเป็นขั้นตอนที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเองแล้ว
รักษาแผลเป็นคีลอยด์โดยแพทย์
เมื่อเป็นแผลเป็นคีลอยด์ ไม่ได้หมดความหวังไปเสียทีเดียว สามารถรักษาโดยแพทย์ได้ โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษาที่หลากหลายออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็นคีลอยด์ แต่ละบุคคล
- การฉีดยาสเตียรอยด์รักษาแผลเป็นคีลอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาสเตียรอยด์รักษาแผลเป็นคีลอยด์เป็นวิธีการรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยวิธีมาตรฐานที่สุด โดยการที่แพทย์ใช้ยาชนิด Triamcinolone acetonide ในการฉีดเพื่อรักษา แผลเป็นคีลอยด์โดยตรงซึ่ง ตัวยาดังกล่าวนั้นจะมีฤทธิ์ในการลดอาการอักเสบ และเข้าไปกดการทำงานที่เกิดขึ้นของเซลล์ผิวทุกชนิด จึงทำให้หลังฉีดเสร็จ แผลเป็นคีลอยด์จะเริ่มยุบลง เริ่มนิ่มมากขึ้น อาการเจ็บ และคัน เริ่มหายไป ซึ่งการรักษาผู้เข้ารักษาไม่ต้องกลัวเจ็บเนื่องจากแพทย์สามารถผสมยาชาในการรักษาเพื่อลดความเจ็บในระหว่างฉีดได้ สำหรับระยะห่างในการฉีดยาเตียรอยด์ในการรักษาควรฉีดติดต่อกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ และเมื่อแผลเป็นคีลอยด์ดีขึ้นแล้ว สามารถฉีดห่างขึ้นได้
- การผ่าตัดรักษาแผลเป็นคีลอยด์ เป็นวิธีการที่แพทย์จะทำการตัดแผลเป็นคีลอยด์ออกไปเลย หรือลดขนาดของแผลเป็นคีลอยด์ให้มีขนาดที่เล็กลง โดยวิธีนี้มักจะเป็นวิธีที่รักษาขั้นต้นด้วยการฉีดสเตียรอยด์แล้วไม่หายหรือได้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามต้องการ รวมไปจนถึงมักทำในบริเวณที่แผลเป็นคีลอยด์อยู่ในบริเวณที่ทำการผ่าตัดได้ง่าย เช่นติ่งหู เป็นต้น แต่ในบางคนเมื่อทำการผ่าตัดแผลเป็นคีลอยด์แล้วอาจต้องใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เนื่องจากบริเวณที่ผ่าอาจกลับมาปูด นูนได้อีกครั้ง
- การใช้ผ้ายืดที่ตัดในการกดทับเพื่อรักษาแผลเป็นคีลอยด์ หรือ Pressure garment therapy โดยการใช้ผ้ายืดที่ตัด ใส่ทับบริเวณแผลเป็นคีลอยด์ ให้แนบและแน่นที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการแผลนูนซ้ำ วิธีนี้แพทย์มักให้ทำในช่วงผ่าตัดในระยะแรก
- การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยเลเซอร์ โดยการใช้เลเซอร์รักษาแผลเป็นที่มีความยาวคลื่นที่ส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือด คือคลื่นความยาว 1064 ยิง ลงสู่ผิวหนังเพื่อให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนเพื่อลดขนาดแผลเป็นคีลอยด์
รักษาแผลเป็นคีลอยด์ที่ไหนดี ?
หากทำการผ่าตัดแล้วเกิดแผลเป็นคีลอยด์ควรเลือกคลินิกในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์แบบใด
- ควรเลือกคลินิกรักษาแผลเป็นคีลอยด์ที่ได้มาตรฐาน
คือมีความน่าเชื่อถือมีใบรับรองการรักษาถูกต้อง แพทย์ที่แขวนป้ายจะต้องมีเลข ว. ที่ตรวจสอบได้ มีความสะอาดตามกฎกระทรงสาธารณสุข เลือกคลินิกที่ใช้รีวิวจริงไม่ใช่การแต่งภาพ
- แผลเป็นคีลอยด์ที่มีวิธีการรักษาอย่างหลากหลาย
นอกจากการรักษาแล้วยังต้องมีวิธีการปรับแต่งให้เรียบเนียนและกลับมาเป็นผิวปกติให้ได้มากที่สุด และเป็นวิธีที่เหมาะสมกับแผลเป็นคีลอยด์ของผู้เข้ารับการรักษาให้มากที่สุด
- เลือกคลินิกรักษาแผลเป็นคีลอยด์ที่มีการติดตามผล
เจ้าหน้าที่คลินิกจะต้องมีการนัดติดตามผล สอบถามผลลัพธ์ของการรักษา และทำการนัดให้เข้าไปทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาแผลเป็นคีลอยด์
- เลือกคลินิกรักษาแผลเป็นคีลอยด์ที่ใกล้ที่พัก สะดวกสบายต่อการเดินทาง
เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องที่สุด ไม่เช่นนั้นผู้เข้ารับการรักษาอาจรู้สึกท้อในการเดินทางไปรักษาได้

