เทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) อีกหนึ่งทางเลือกของการแปลงเพศ

แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

เมื่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศแล้วนอกจากขั้นตอนการตรวจสุขภาพจิต หรือขั้นตอนการเตรียมตัว การเลือกเทคนิคในการผ่าตัดแปลงเพศจากชาย เป็นหญิงก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เนื่องจากการเลือกเทคนิคในการผ่าตัดแปลงเพศนั้น เป็นเหมือนกับการตัดสินใจเพื่อยอมรับ ในข้อจำกัดของอวัยวะเพศใหม่ที่อาจไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมด และยอมรับในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เลือกเอง

หนึ่งในเทคนิคที่ใช้เป็นหนึ่งทางเลือกในการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิงที่ยอดนิยมและพัฒนาในยุคสมัยใหม่ก็คือเทคนิคการผ่าตัดโดยการใช้ลำไส้ใหญ่ของเราในการสร้างช่องคลอดเทียม หรือ Colon Vaginoplasty นั่นเอง โดยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคในการแปลงเพศจากชายเป็นหญิงที่ยาก และมีกระบวนการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนไม่น้อยไปกว่าเทคนิคอื่นๆ และยังมีข้อดีหลายๆอย่างที่ดีกว่าเทคนิคอื่นๆด้วย

 

การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการแก้สำหรับหลายๆเคสที่เลือกทำการแปลงเพศเทคนิคอื่นมาแล้วไม่ได้รับความพึงพอใจเท่าที่ควร เช่นในผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วแต่เกิดภาวะช่องคลอดตีบตัน ผู้ที่ต้องการให้ช่องคลอดที่ผ่าตัดไปมีความลึกมากกว่าวิธีปกติ เป็นต้น ไม่ใช่แค่ทำได้เฉพาะเคสแก้เท่านั้น การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) ยังสามารถทำในผู้ที่แปลงเพศเป็นครั้งแรกได้ดีเช่นกัน เพราะการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) นั้นมีข้อดีที่เป็นจุดเด่นหรือจุดขายคือ ใช้วิธีการผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ทำให้มีแผลในการผ่าตัดที่มีขนาดเล็ก และแผลหายง่าย

 

วิธีการผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

ขั้นตอนการผ่าตัดจะเริ่มต้นจากการดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ จากนั้นศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลด้วยกล้อง หรือ เปิดแผลหน้าท้อง เพื่อนำลำไส้ใหญ่ (Colon) ของคนไข้ผู้เข้ารับบริการความยาวประมาณ 7-8 นิ้ว มาสร้างเป็นผนังช่องคลอด ซึ่งส่วนของลำไส้ใหญ่ที่นำมาใช้ในการสร้างช่องคลอดเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) มักจะนำมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ (sigmoid) หรือ ลำไส้ใหญ่ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งส่วนนี้จะอยู่ในช่องท้องส่วนล่าง แต่ความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์จะทำการเก็บแยกลำไส้ที่ต้องการใช้งานออกอย่างระมัดระวัง เพื่อเป็นการควบคุมดูแลรักษาเนื้อเยื่อและการไหลเวียนของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงลำไส้ส่วนที่ตัดออกมาให้ยังคงทำงานได้ตามปกติ รวมทั้งป้องกันเนื้อตายด้วย

 

การสร้างช่องคลอดด้วยเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

ลำไส้ใหญ่ที่ศัลยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเก็บออกมานั้น จะนำมาสร้างช่องคลอดใหม่ เนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายกันกับท่อ วิธีการคือศัลยแพทย์จะนำลำไส้ที่เก็บมาทำการเย็บเข้าที่ช่องของอุ้งเชิงกราน ให้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับช่องคลอดของเพศหญิงที่เกิดโดยธรรมชาติ ซึ่งความยาวและเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องคลอดนั้นจะขึ้นอยู่กับสรีระของคนไข้ผู้เข้ารับบริการโดยในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป และปิดท้ายด้วยการสร้างรูเปิดที่บริเวณอวัยวะเพศภายนอกใหม่เพื่อเชื่อมต่อกับช่องคลอดเทียม

 

การจัดเรียงอวัยวะเพศภายนอก

การแปลงเพศจากชายให้เป็นหญิง นอกจากจะต้องทำช่องคลอดให้มีสัมผัสและความรู้สึกที่เหมือนจริงแล้ว ยังต้องตกแต่งภายนอกให้สวยงามเหมือนจริง หรือสวยกว่าของจริง โดยศัลยแพทย์มักจะนำผิวหนังจากองคชาตและถุงอัณฑะเดิมมาใช้ในการตกแต่งสร้างแคมเล็ก แคมใหญ่ รวมทั้งปุ่มกระสัน เพื่อให้อวัยเพศใหม่มีผลลัพธ์ที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับอวัยวะเพศหญิงมากที่สุดเพื่อให้ใช้ชีวิตกับเพศสภาพใหม่ได้อย่างมีความมั่นใจ

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้ส่องกล้อง (Colon Laparoscopy)
การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้ส่องกล้อง (Colon Laparoscopy)

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้ส่องกล้อง (Colon Laparoscopy)

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยการต่อลำไส้ส่องกล้องคืออะไร?

เป็นวิธีการผ่าตัดที่ไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ที่บริเวณหน้าท้อง โดยศัลยแพทย์จะทำเพียงเจาะรูเล็ก ๆ บริเวณหน้าท้องเพียง 2-3 จุด เพื่อทำการสอดกล้องที่มีขนาดเล็กรวมทั้งเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปทางรูที่เจาะขึ้น โดยการส่องกล้องนั้นจะช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจนมากกว่า จึงทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำมากขึ้น

 

ข้อดีของการผ่าตัดแปลงเพศต่อลำไส้แบบส่องกล้อง

  • ทำให้แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็ก เนื้อเยื่อรอบแผลได้รับความเสียหายน้อยลง
  • รู้สึกเจ็บปวดจากการผ่าตัดน้อยลง ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากอาการผ่าตัดได้ดีมากยิ่งขึ้น
  • รอยแผลจากการผ่าตัดส่องกล้องจะมีขนาดเล็กมาก ไม่กี่มิลลิเมตร ทำให้โอกาสการเกิดรอยแผลเป็นน้อยลง และเกิดการฟกช้ำได้น้อยลง

*การผ่าตัดเทคนิคนี้แม้จะมีข้อดีมาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตาม เนื่องจากต้องใช้แพทย์ในการผ่าตัดหลายท่าน ทั้งศัลยแพทย์ศัลยกรรมแปลงเพศ แพทย์ลำไส้ วิสัญญีแพทย์ และแพทย์ส่องกล้อง

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้แบบเปิดแผลหน้าท้อง
การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้แบบเปิดแผลหน้าท้อง

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้แบบเปิดแผลหน้าท้อง

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยการต่อลำไส้แบบเปิดแผลหน้าท้องคืออะไร?

การผ่าตัดสร้างช่องคลอดด้วยลำไส้ใหญ่ที่ศัยลแพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเปิดแผลที่บริเวณหน้าท้องความกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว เพื่อเนำลำไส้ใหญ่บางส่วนมาสร้างเป็นช่องคลอด 

 

ข้อจำกัดของการผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้แบบเปิดแผลหน้าท้อง

  • จะมีแผลเป็นขนาด 2-3 นิ้ว ที่บริเวณหน้าท้อง 
  • เป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนและใช้เวลานานเนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับการตัดต่อลำไส้และจัดระบบภายใน
  • ความเสี่ยงจากการผ่าตัดช่องท้อง เช่นมี เลือดออก การติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บต่ออวัยวะภายในช่องท้องอื่น จึงควรเลือกผ่าตัดกับแพทย์เฉพาะทางและมีความชำนาญสูง
  • ระยะเวลาพักฟื้นที่นาน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับช่องท้อง จึงทำให้ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่าแบบส่องกล้องหลายเท่า

*การผ่าตัดเทคนิคนี้จะใช้แพทย์ในการผ่าตัด 3 ท่าน คือศัลยแพทย์ผ่าตัดแปลงเพศ แพทย์ลำไส้ และวิสัญญีแพทย์

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้เหมาะกับใคร
การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคต่อลำไส้เหมาะกับใคร

ข้อดีของการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

  • ช่องคลอดที่ถูกสร้างขึ้นจากลำไส้ใหญ่ด้วยเทคนิคการต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะมีความลึกที่มากกว่าเทคนิคอื่นๆ เหมาะกับผู้ที่ต้องการช่องคลอดที่มีความลึกมากๆ
  • เยื่อบุผิวในส่วนของลำไส้ใหญ่นั้น จะสามารถผลิตน้ำหล่อลื่นได้เองตามธรรมชาติมีความคล้ายคลึงกับช่องคลอดของผู้หญิง
  • เนื้อเยื่อในส่วนของลำไส้นั้นจะมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้มากกว่าผิวหนัง
  • ด้วยความที่เทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) ใช้ลำไส้ในการสร้างช่องคลอดจึงทำให้การสร้างความหล่อลื่นรวมทั้งความยืดหยุ่นของช่องคลอดนั้นทำได้ดีกว่าเทคนิคอื่นๆ จึงช่วยลดความจำเป็น ชะลอความถี่ในการทำการขยายช่องคลอด (แยงโมลด์) เมื่อเทียบกับเทคนิคอื่นๆ
  • เป็นเทคนิคที่ทำให้ผิวสัมผัสของช่องคลอดไม่หยาบ มีความเรียบ และไม่มีขนในช่องคลอด

 

ข้อเสียของการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

  • การผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) นั้นมีความจำเป็นต้องทำการเปิดแผลที่บริเวณช่องท้องเพื่อนำลำไส้บางส่วนมาใช้ในการสร้างช่องคลอด จึงส่งผลให้อาจมีความเสี่ยงคล้ายๆกับการผ่าตัดใหญ่ อาทิ เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายในอื่นๆ หากศัลยแพทย์ไม่มีความรู้และมีประสบการณ์ไม่มากพอ
  • ยื่อบุลำไส้อาจมีการผลิตเมือกหรือกลิ่นแปลกปลอมที่ไม่เหมือนกับช่องคลอดของผู้หญิงตามธรรมชาติ จึงทำให้อาจเกิดตกขาวได้ อาจมีปริมาณตกขาวมากหรือน้อยแตกต่างกันออกไปและมีกลิ่นเฉพาะตัว
  • ถึงแม้ว่าการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะทำให้เกิดการตีบของช่องคลอดได้น้อยกว่าเทคนิคอื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยเสียทีเดียว 
  • ในบางกรณี อาจเกิดการที่เนื้อเยื่อลำไส้ที่ศัลยแพทย์ได้นำมาสร้างเป็นช่องคลอดเกิดการเคลื่อนตัวออกมาจากช่องคลอดทำให้เป็นริดสีดวงได้
  • หากดูแลไม่ดี หรือศัลยแพทย์ไม่มีความรู้ในการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty ) อาจทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ในระยะยาว
จำนวนแพทย์ที่ใช้ในการผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้
จำนวนแพทย์ที่ใช้ในการผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้

จำนวนแพทย์ที่ใช้ในการผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้

การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคนี้ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมากจึงต้องอาศัยความชำนาญจากแพทย์เฉพาะทางหลายด้านร่วมกันเพื่อให้ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดออกมาอย่างดีที่สุด

การผ่าตัดในเทคนิคต่อลำไส้นี้จะใช้แพทย์อย่างน้อย 3 ท่านในการผ่าตัดอันประกอบไปด้วยวิสัญญีแพทย์ ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่ และศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง

  • วิสัญญีแพทย์ มีหน้าที่ในการให้ยาสลบแก่คนไข้ผู้เข้ารับบริการตลอดการผ่าตัด และยังเป็นผู้ควบคุมระดับความรู้สึกตัวรวมทั้งสัญญาณชีพ ให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย จึงนับว่าเป็น “ผู้ดูแลชีวิต” ของคนไข้ผู้เข้ารับบริการให้เป็นไปได้ด้วยดีตลอดระยะเวลาการผ่าตัด

 

  • ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่บางส่วนออกมาเพื่อนำไปใช้ในการสร้างช่องคลอด โดยจะต้องอาศัยความแม่นยำเพื่อไม่ให้ลำไส้เสียหาย และยังต้องเย็บปิดปลายลำไส้ให้เรียบร้อย เพื่อเตรียมความพร้อมให้ศัลยแพทย์ตกแต่งสามารถนำลำไส้ที่ตัดออกมาไปใช้งานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ผู้ทำหน้าที่สร้างช่องคลอดใหม่จากลำไส้ที่นำมา โดยจะต้องมีความประณีต ละเมียดละไม ออกแบบและเย็บตกแต่งอย่างละเอียด เพื่ออวัยวะเพศหญิงที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้นมีความใกล้เคียงกับอวัยวะธรรมชาติมากที่สุด และยังต้องสามารถตอบสนองการใช้งานในชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี

 

 การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

  1. ปรึกษาศัลยแพทย์ ถึงความต้องการ ความกังวล และเลือกเทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศที่เหมาะสม
  2. แจ้งอาการแพ้ยา รวมทั้งแจ้งยาหรืออาหารเสริมที่รับประทานเป็นประจำ รวมทั้งแจ้งโรคประจำตัวและยาที่ใช้ในการรักษาด้วย
  3. งดรับประทานยาที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ,ไอบิวโพรเฟน,แปะก๊วย ,น้ำมันปลา หรือวิตามินอี ก่อนทำการผ่าตัดสองสัปดาห์ ทั้งนี้ก่อนงดควรปรึกษาศัลยแพทย์ก่อนเพื่อประเมินความเหมาะสม
  4. หากมีการฉีดฮอร์โมน หรือรับประทานยาฮอร์โมนควรปรึกษาศัลยแพทย์ และควรทำการหยุดก่อนทำการผ่าตัดแปลงเพศอย่างน้อย  1 เดือน
  5. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์ และหลังผ่าตัด 4 สัปดาห์

การเตรียมลำไส้ให้พร้อมก่อนการผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

 สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามคำแนะนำของศัลยแพทย์

  • ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ รวมทั้งมีกากใยในอาหารน้อยๆ เป็นเวลา  7วันก่อนวันผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)
  • งดทานอาหารและดื่มน้ำ 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
  • ทานยาล้างลำไส้ตามที่แพทย์แนะนำ  

 

การดูแลหลังการผ่าตัดการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

การดูแลตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ลดระยะเวลาของการพักฟื้นให้น้อยลง  ลดผลข้างเคียงและให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่พึงพอใจมากขึ้น

  • ทำความสะอาดช่องคลอดเทียมอย่างสม่ำเสมอตามขั้นตอนและวิธีการของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและควบคุมกลิ่นเฉพาะตัว
  • การทำการขยายช่องคลอดหรือแยงโมลด์ เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างเคร่งครัดถึงแม้ว่าจะเป็นการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) ก็ตาม เพื่อป้องกันการตีบตันของช่องคลอด
  • ตรวจติดตามผลกับศัลยแพทย์ผู้ดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินผลลัพธ์ในการผ่าตัดแปลงเพศและตรวจหาภาวะแทรกซ้อนจากการแปลงเพศที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะยาว 
  • รับประทานยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งยาลดบวมที่ศัลยแพทย์จ่ายอย่างเคร่งครัด
  • ล้างสวนช่องคลอดตามการสอนของศัลยแพทย์หรือคลินิก
  • งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา  3 เดือน 
  • หลังจากการผ่าตัดแปลงเพศ ควรมีเพศสัมพันธ์แบบใส่ถุงยางอนามัยเพื่อความปลอดภัย
  • ควรใส่ผ้าอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันช่องคลอดที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ปล่อยน้ำเมือกออกมาตามธรรมชาติ แต่น้ำเมือกดังกล่าวจะค่อยๆลดปริมาณลงเองจึงหยุดใส่ผ้าอนามัย
อาการหลังผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้
อาการหลังผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้

อาการหลังผ่าตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon)

  • มีเลือดซึม หรือมีของเหลวใสออกมาจากแผล อาการนี้เป็นอาการปกติ จะค่อยๆดีขึ้นเมื่อแผลสมานตัว
  • มีแผลบริเวณหน้าท้อง 2 – 3 นิ้วหากทำการผ่าตัดเทคนิคต่อลำไส้แบบเปิดหน้าท้อง
  • มีอาการปวด และตึงแผลในบริเวณที่สร้างอวัยวะเพศ
  • มีอาการบวมช้ำบริเวณแคมและขาหนีบ
  • มีอาการแสบเวลาปัสสาวะ หรือปัสสาวะไหลเบา
  • มีอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายเกิดการเสียเลือดบางส่วน
  • มีความรู้สึกชาในบริเวณแผลที่สร้างช่องคลอด

 

ความแตกต่างของการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) และเทคนิคการแปลงเพศอื่นๆ

 การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) เปรียบเทียบกับเทคนิคต่อกราฟ (Skin Graft)

  • บริเวณในการนำเนื้อเยื่อมาสร้างช่องคลอด

เทคนิคต่อกราฟ (Skin Graft)จะใช้ผิวหนังส่วนปลายของอวัยวะเพศชายเดิมในการสร้างช่องคลอดใหม่เป็นหลัก ในขณะที่การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะใช้ส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ในการสร้างช่องคลอด

  • ความลึกของช่องคลอด

แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะมีความลึกมากกว่าทุกเทคนิดการแปลงเพศ

  • ความหล่อลื่นของช่องคลอด

จุดเด่นสำคัญของ Colon Vaginoplasty คือการนำลำไส้ใหญ่มาสร้างเป็นช่องคลอดจึงทำให้สามารถ ผลิตเมือกที่เป็นสารหล่อลื่น ได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ช่องคลอดที่ได้นั้นความชุ่มชื้นคล้ายกันกับช่องคลอดจริง 

ในขณะที่ช่องคลอดจากเทคนิคต่อกราฟ (Skin Graft) จะไม่สามารถผลิตเมือกได้เองตามธรรมชาติ จึงจะเป็นต้องใช้สารหล่อลื่นภายนอก

  • ความซับซ้อนของการผ่าตัด

แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะมีเทคนิคในการผ่าตัดที่ซับซ้อนและใหญ่กว่ามาก เนื่องจากศัลยแพทย์จะต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อเพื่อนำลำไส้ออกมา เทคนิคต่อกราฟ (Skin Graft) จะเป็นการผ่าตัดแปลงเพศที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า และไม่ยุ่งเกี่ยวกับอวัยวะภายในช่องท้อง

  • การฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อน

แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) จะใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าและมีแผลเพิ่มขึ้นในส่วนของท้อง

เทคนิคต่อกราฟ (Skin Graft) มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงน้อยกว่า แต่มีความเสี่ยงในด้านช่องคลอดตีบตันที่มากกว่า

ผู้เข้ารับบริการผัดตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้
ผู้เข้ารับบริการผัดตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้

การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) เปรียบเทียบกับเทคนิคเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneal Vaginoplasty / Peritoneal Pull-Through)

  • บริเวณในการนำเนื้อเยื่อมาสร้างช่องคลอด

เทคนิคเยื่อบุช่องท้องจะใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นหลัก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่แตกต่างจากลำไส้ใหญ่ที่ใช้ใน แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)

  • วิธีการผ่าตัด

เทคนิคเยื่อบุช่องท้อง มักจะผ่าตัดผ่านการ ส่องกล้อง ซึ่งสร้างแผลที่ขนาดเล็กและไม่ทำอันตรายต่อบริเวณที่ทำการผ่าตัด แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)  อาจใช้การผ่าตัดส่องกล้องเหมือนกันแต่ให้ขนาดแผลที่เล็กกว่า

  • ความลึกและการหล่อลื่น

การผ่าตัดแปลงเพศทั้งสองเทคนิคนั้นให้ความลึกของช่องคลอดที่มากในระดับใกล้เคียงกัน อีกทั้งเทคนิคเยื่อบุช่องท้องก็ยังสามารถผลิตสารหล่อลื่นได้คล้ายช่องคลอดธรรมชาติเช่นกันกับการแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)  แต่ข้อได้เปรียบของ  แปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) ก็คือให้ความหล่อลื่นได้มากกว่าเนื่องจากลำไส้ผลิตเมือกได้มากกว่านั่นเอง

  • การฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อน

เทคนิคเยื่อบุช่องท้องจะมีความเสี่ยงในด้านที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดส่องกล้องในช่องท้อง ส่วนแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty) อาจมีปัญหาเรื่องกลิ่นหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ที่ทำการตัดออกมา

ผู้เข้ารับบริการผัดตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้
ผู้เข้ารับบริการผัดตัดแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้

ทางเลือกสำหรับเทคนิคในการผ่าตัดแปลงเพศมีมากมาย การแปลงเพศเทคนิคต่อลำไส้ (Colon Vaginoplasty)ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีช่องคลอดที่มีความลึก ชุ่มชื้น และไม่ต้องขยายช่องคลอดอย่างสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลามากนักในการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดแปลงเพศ ให้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ต่างกันกับเทคนิคอื่น ทั้งนี้การตัดสินใจเลือกเทคนิคแปลงเพศ ควรคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้ชีวิตและความต้องการต่อการแปลงเพศเป็นหลัก เพื่อให้การตัดสินใจในครั้งนี้ได้รับความพึงพอใจและไม่ต้องทำการแก้ไขในภายหลัง หากสนใจปรึกษาศัลยแพทย์เฉพาะทางผู้มีความรู้ในด้านการผ่าตัดแปลงเพศ สามารถติดต่อได้ทางช่องทางออนไลน์ของ APS Clinic เพื่อทำการนัดวัน และเวลาในการปรึกษาศัลยแพทย์ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกเทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศ

» Switch Languages