ในยุคปัจจุบัน ศัลยกรรมเสริมจมูกไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การใช้ซิลิโคนสำเร็จรูปอีกต่อไป ความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคนิคการผ่าตัดเชิงโครงสร้างได้เปิดทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงจมูกอย่างปลอดภัย ดูเป็นธรรมชาติ และมีความยั่งยืนในระยะยาว หนึ่งในหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการผ่าตัดก็คือ “การเลือกวัสดุเสริมในการศัลยกรรมเสริมจมูก” ซึ่งเป็นตัวช่วยเสริมจากการที่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับร่างกาย ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจตามมามากขึ้น เนื่องจากคนมีความรู้ ความต้องการและความกังวลในการทำศัลยกรรมกันมากขึ้น
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่วัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคนชนิดต่าง ๆ ไปจนถึงวัสดุที่ได้จากร่างกายของคนไข้ผู้เข้ารับบริการ หรือจากแหล่งผู้บริจาค ซึ่งในกลุ่มวัสดุจากธรรมชาติ หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับการยอมรับและกล่าวถึงอย่างกว้างขวางก็คือ “กระดูกอ่อนซี่โครง” วัสดุชนิดนี้เป็นที่นิยมในศัลยแพทย์ผู้มีความชำนาญจากหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องเสริมจมูกซ้ำหลายครั้ง แก้จมูกเพราะไม่ได้รับการศัลยกรรมในครั้งแรกที่เป็นไปตามต้องการ หรือมีความผิดแปลกไปของโครงสร้างจมูกจากการผ่าตัดรวมทั้งความผิดพลาดในอดีต เนื่องจากการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงในการศัลยกรรมเสริมจมูกนั้นสามารถให้โครงสร้างที่แข็งแรง รองรับแรงกดได้ดี สามารถขึ้นรูปได้อย่างยืดหยุ่น และคงทน

โดยกระดูกอ่อนซี่โครงที่นำมาใช้ในการศัลยกรรมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเอง (Autologous Costal Cartilage) ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนซี่โครงได้มาจากร่างกายของผู้เข้ารับการผ่าตัดเองโดยศัลยแพทย์จะทำการเก็บกระดูกส่วนนี้ก่อนทำการเสริมจมูก แต่เป็นในการผ่าตัดครั้งเดียวกัน
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค (Donated หรือ Cadaveric Costal Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนซี่โครงเนื้อเยื่อที่ได้จากผู้บริจาคที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและเตรียมอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานทางการแพทย์กำหนด
แม้ว่ากระดูกอ่อนซี่โครงทั้งสองรูปแบบจะจัดอยู่ในกลุ่มวัสดุจากธรรมชาติและเกิดจากร่างกายมนุษย์เหมือนกัน แต่ก็ต่างก็มีข้อดีในแง่ของความปลอดภัยและความสามารถใช้ในการปรับโครงสร้างจมูกที่ซับซ้อน ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีปริมาณมากและยังช่วยเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างจมูก แต่ในความเป็นจริงแล้วกระดูกอ่อนซี่โครงทั้งสองประเภทกลับมี ระดับความเข้ากันกับร่างกาย และ ผลลัพธ์เมื่อนำมาใช้ในการทำศัลยกรรมเสริมจมูก ที่มีความแตกต่างกันดังนี้
ทำความรู้จักความเข้ากันของร่างกายกับกระดูกอ่อนซี่โครง ที่ใช้ในการเสริมจมูก
ความเข้ากันกับร่างกายกับกระดูกอ่อนซี่โครง หรือที่เรียกกันในทางการแพทย์ว่า Biocompatibility คือความสามารถของวัสดุที่นำเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านหรืออักเสบ ซึ่งส่งผลเป็นอย่างมากในการผ่าตัดทั้งในแง่ของผลลัพธ์และความต้องการ
ระหว่างกระดูกอ่อนซี่โครงจากตัวเองกับกระดูกอ่อนซี่โครงจากผู้บริจาค กระดูกอ่อนซี่โครงแบบใดที่สามารถเข้ากับร่างกายของคนไข้ผู้เข้ารับบริการมากกว่า ? กระดูกอ่อนซี่โครงแบบใดที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน? และควรเลือกใช้กระดูกอ่อนซี่โครงอย่างไรให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพื่อให้การศัลยกรรมเสริมจมูกไม่ใช่เพียงให้ผลลัพธ์แค่ความสวย แต่ยังอยู่บนพื้นฐานของการไม่เสี่ยงอันตรายอีกด้วย

กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเองคืออะไร และนำมาใช้ได้อย่างไร?
กระดูกอ่อนซี่โครง หรือ Autologous Costal Cartilage คือเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณแนวซี่โครงส่วนล่างของร่างกาย โดยทั่วไปแล้วศัลยแพทย์จะเลือกจากซี่ที่ 6, 7 หรือ 8 ซึ่งสามารถผ่าตัดนำออกมาในปริมาณที่พอเหมาะ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทรวงอกหรือระบบการหายใจของคนไข้ผู้เข้ารับบริการ โดยขั้นตอนนี้จะลงมือทำโดยศัลยแพทย์ผู้มีความรู้ความสามารถ หรือศัลยแพทย์เฉพาะทาง เท่านั้นทั้งนี้การวางยาสลบในการทำศัลยกรรมจะต้องทำโดยวิสัญญีแพทย์เช่นกัน เพื่อป้องกันการเสี่ยงอันตราย
การนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ในการเสริมจมูก มักจะใช้ในกรณีที่ต้องการปรับโครงสร้างจมูกใหม่ หรือต้องการแก้ไขปัญหาโครงสร้างจมูกที่มีอยู่มาก เช่น กรณีจมูกเบี้ยวจากอุบัติเหตุ มีพังผืดหนาจากการศัลยกรรมจมูกในครั้งก่อนแล้วเกิดการผิดพลาด หรือในผู้ที่มีปัญหาโครงสร้างภายในจมูกและต้องการเข้ารับการแก้ไขในชั้นโครงสร้างเพื่อผลลัพธ์ภาพรวมที่ดูสวยขึ้น เนื่องจากกระดูกอ่อนซี่โครงนั้นสามารถนำมาสร้างเป็นโครงกลางจมูก สันจมูก ไปจนถึงปลายจมูกได้อย่างยืดหยุ่นและแม่นยำมากกว่าวัสดุสังเคราะห์

ข้อดีของการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเองในการเสริมจมูก
- ความแข็งแรงและปริมาณเนื้อเยื่อที่มากเพียงพอ
กระดูกอ่อนซี่โครงให้ปริมาณเนื้อเยื่อเป็นจำนวนมาก จึงเพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างโครงสร้างจมูกใหม่ หรือปรับโครงสร้างจมูกเพื่อความสวยงามและละเอียดมากขึ้น เช่น เคสที่จมูกสั้น จมูกเบี้ยว หรือในผู้ที่เคยผ่าตัดศัลยกรรมจมูกมาก่อนและเนื้อเยื่อจมูกเดิมถูกทำลายหรือเกิดพังผืดขึ้นที่จมูก
- เข้ากันได้ดีกับร่างกาย (Biocompatibility)
กระดูกอ่อนซี่โครง เป็นเนื้อเยื่อของคนไข้ผู้เข้ารับบริการ ร่างกายจึงไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านในการใช้กระดูกอ่อนซี่โครง ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบ ติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนจากกระดูกอ่อนซี่โครงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
- กระดูกอ่อนซี่โครงสามารถปรับแต่งและขึ้นรูปได้อย่างยืดหยุ่น
กระดูกอ่อนซี่โครงมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งยืดหยุ่น จึงทำให้ศัลยแพทย์สามารถตกแต่งให้เหมาะสมกับสรีระของใบหน้าของคนไข้ผู้เข้ารับบริการได้เป็นอย่างดี และให้ผลลัพธ์ที่กลมกลืนเป็นที่น่าพึงพอใจ
- กระดูกอ่อนซี่โครง ให้ความทนทานในระยะยาว
กระดูกอ่อนซี่โครงมีความสามารถในการคงรูปและทนต่อแรงกระแทกได้ดีมากกว่าวัสดุเทียม หรือวัสดุสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวในการทำศัลยกรรมเสริมจมูก
- กระดูกอ่อนซี่โครงเหมาะกับเคสแก้ไขซับซ้อน
ผู้ที่เคยทำจมูกมาก่อนแล้วเกิดปัญหา เช่น จมูกทะลุ ผิวบาง พังผืดดึงรั้ง หรือมีซิลิโคนเคลื่อนตัว สามารถใช้กระดูกอ่อนซี่โครงในการแก้ไขได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัดของการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเองในการทำจมูก
- มีรอยแผลบริเวณหน้าอก
เนื่องจากต้องผ่าตัดเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงก่อนทำศัลยกรรมเสริมจมูก จึงจะทำให้มีแผลที่บริเวณหน้าอก ขนาด 2–3 เซนติเมตร และซ่อนอยู่ใต้ราวนม
- อาจใช้เวลาผ่าตัดและพักฟื้นมากขึ้น
การผ่าตัดด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงใช้เวลานานกว่าการเสริมจมูกทั่วไป อาจต้องใช้เวลา 4–6 ชั่วโมง รวมถึงการพักฟื้นที่ยาวนานกว่าและทำให้ต้องดูแลแปลทั้งซี่โครงและจมูก
- เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหากไม่มีแพทย์เชี่ยวชาญ
การตกแต่งและนำกระดูกอ่อนซี่โครงมาใช้ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ อาจทำให้เกิดการผิดรูป หรือการติดเชื้อภายหลังได้
- บางรายอาจเกิดภาวะแคลเซียมเกาะ
โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกระดูกอ่อนซี่โครงอาจมีแคลเซียมสะสมทำให้แข็งเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับการนำมาใช้ในการเสริมจมูก
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง
ก่อนการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะทำการประเมินสภาพร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจ CT-Scan เพื่อดูโครงสร้างและคุณภาพของกระดูกอ่อนซี่โครง ว่ามีความแข็งแรง ความยาว และความหนาเพียงพอต่อการนำมาเสริมจมูกหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และประเมินความพร้อมในการดมยาสลบ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย
วัตถุประสงค์ของการตรวจ CT-Scan Chest
- ตรวจวัดขนาดของกระดูกอ่อนซี่โครงแต่ละซี่ เพื่อดูว่ามีความยาวและเส้นผ่าศูนย์กลางมากเพียงพอต่อการนำไปใช้งาน
- ประเมินความแข็งแรงและความบริสุทธิ์ของกระดูกอ่อน โดยเฉพาะการมีแคลเซียมเกาะที่มากเกินไป (Calcification) ซึ่งจะลดความยืดหยุ่นและอาจทำให้ไม่เหมาะสมกับการขึ้นรูป
- คัดกรองภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากความผิดปกติของซี่โครงในระดับโครงสร้าง เช่น การมีพังผืด เนื้องอก หรือโรคของเนื้อเยื่อรอบข้าง
การตรวจร่างกายอื่น ๆ ที่จำเป็นก่อนเข้ารับการผ่าตัด
นอกจาก CT-Scan แล้ว แพทย์จะต้องทำการตรวจสุขภาพโดยรวมเพิ่มเติมเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะเสี่ยงสูง การประเมินจะครอบคลุม
- ตรวจร่างกายทั่วไป (Physical Examination)
- ตรวจเลือด (Blood Test)
- เอกซเรย์ปอดและทรวงอก (Chest X-ray)
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram – ECG)
- ตรวจระบบการแข็งตัวของเลือด (Coagulation test)
- วัดค่าการทำงานของตับ ไต และประเมินความเสี่ยงจากการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ (Anesthesiologist)
ขั้นตอนเหล่านี้สำคัญมาก เนื่องจากช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างหรือหลังการผ่าตัด และยังช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย และตรงกับความต้องการของคนไข้ผู้เข้ารับบริการแต่ละรายมากที่สุด
กระบวนการผ่าตัดเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง
การผ่าตัดเริ่มจากการวางยาสลบ จากนั้นศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณหน้าอกเพื่อเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงโดยใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อไม่ให้กระดูกแตกร้าว แล้วจึงนำไปตกแต่งให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการใช้เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงปิดแผลเย็บอย่างประณีต และเฝ้าสังเกตอาการหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด โดยวิธีการมีดังนี้
ขั้นตอนการผ่าตัดเพื่อเก็บกระดูกอ่อนซี่โครง (Rib Cartilage Harvesting)
- ใช้การวางยาสลบ (General Anesthesia)
เพื่อให้คนไข้ผู้เข้ารับบริการไม่รู้สึกตัวตลอดกระบวนการและลดความเครียดทางจิตใจ รวมถึงเพื่อช่วยให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างปลอดภัยและแม่นยำในการรักษามากที่สุด - การเปิดแผลผ่าตัด
แพทย์จะทำการเปิดแผลขนาดประมาณ 3–4 เซนติเมตรบริเวณหน้าอก โดยปกติจะเลือกบริเวณที่สามารถซ่อนรอยแผลได้ง่าย เช่น ใต้ราวนม โดยเฉพาะในผู้หญิง เพื่อให้แน่ใจว่าแผลจะไม่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกมากนัก - การแยกชั้นผิวหนังและไขมัน
หากคนไข้ผู้เข้ารับบริการมีชั้นผิวหนังหนาหรือไขมันใต้ผิวมาก ศัลยแพทย์อาจต้องขยายแผลผ่าตัดให้กว้างขึ้นเล็กน้อย เพื่อเพิ่มมุมมอง (Field) ในการทำงานและลดความเสี่ยงของการผิดพลาด - การเก็บกระดูกอ่อนซี่โครง
ศัลยแพทย์จะใช้เครื่องมือผ่าตัดเฉพาะทางในการตัดกระดูกอ่อนออกมาอย่างประณีต เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของเนื้อเยื่อให้สามารถนำไปขึ้นรูปใหม่เพื่อใช้เสริมจมูกได้ทันที - การปิดแผลและฟื้นตัว
เมื่อการเก็บเสร็จสิ้น แพทย์จะเย็บแผลผ่าตัดอย่างปราณีต ลดโอกาสเกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อ และให้คนไข้พักฟื้นในห้องเฉพาะเพื่อเฝ้าดูอาการหลังยาสลบจนแน่ใจว่าปลอดภัย
การดูแลหลังผ่าตัดกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง
หลังจากการผ่าตัดเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงเพื่อนำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมจมูก โดยทั่วไปแผลจะได้รับการปิดด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซเพื่อป้องกันเชื้อโรค และควรเปลี่ยนผ้าพันแผลเป็นประจำ ตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ผู้ดูแล ทั้งนี้ควร งดกิจกรรมที่ใช้แรง เช่น ยกของหนัก หรือออกกำลังกายอย่างน้อย 4–6 สัปดาห์ และควรพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำเพื่อลดแรงกดทับบริเวณแผล
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องยาและการติดตามผลกับศัลยแพทย์ผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 1–2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดเพื่อเก็บกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อหรือแผลอักเสบ รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง บวมแดง หรือแผลมีหนอง ซึ่งควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
วิธีดูแลแผลผ่าตัดบริเวณซี่โครงอย่างถูกต้อง
- วันที่ 1–2 หลังผ่าตัด
ในช่วงวันแรก แพทย์จะเน้นทำความสะอาดแผลบริเวณที่ผ่าตัดจมูกเท่านั้น ยังไม่ยุ่งกับแผลซี่โครง เนื่องจากบริเวณนั้นเพิ่งผ่านการผ่าตัดและยังอยู่ในระยะพักฟื้นเบื้องต้น - วันที่ 3 หลังผ่าตัด
เริ่มเปิดแผลซี่โครงเพื่อเริ่มกระบวนการดูแลและทำความสะอาดอย่างเหมาะสม - หลังเปิดแผล
ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) และทาเบตาดีนเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นปล่อยให้แห้งในที่สะอาด อาจใช้ผ้าก๊อซปิดคลุมเพื่อกันฝุ่นหรือสิ่งสกปรก และควรทำความสะอาดแผลอย่างต่อเนื่องเช้า-เย็น ทุกวันจนกว่าแผลจะแห้งสนิทและครบกำหนดวันตัดไหม - การตัดไหม
โดยทั่วไปจะนัดตัดไหมในช่วงวันที่ 7–14 ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลและการสมานแผลของแต่ละบุคคล หากแผลหายดี ไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ แพทย์จะทำการตัดไหมได้ตามกำหนด - งดออกกำลังกายหนัก
หลังผ่าตัด 30 วันแรกควรงดกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะ เช่น วิ่ง ยกของหนัก หรือเล่นเวท เพราะอาจส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ผ่าตัดโดยตรง - หลังตัดไหม
ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องดูแลแผลอย่างสม่ำเสมอ โดยทายาฆ่าเชื้อเช้า-เย็น และสังเกตว่าแผลเริ่มแห้งและยุบลงหรือยัง เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นแผลนูนหรือคีลอยด์ - อาการปวดบริเวณแผลผ่าตัด
ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บตึงหรือปวดแผลซี่โครงในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก ซึ่งถือเป็นอาการปกติ แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดหากมีอาการมาก แต่ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ทุเลาลงเมื่อแผลสมานดีขึ้นเสริมจมูกด้วยซี่โครงบริจาค
ทางเลือกเพิ่มเติมคือการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
ในกรณีที่คนไข้ผู้เข้ารับบริการไม่สามารถใช้กระดูกอ่อนซี่โครงของตนเองได้ เช่น มีโรคประจำตัวที่ห้ามผ่าตัดซับซ้อน มีอายุที่มาก หรือมีคุณภาพกระดูกอ่อนซี่โครงที่ไม่เหมาะสม การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงจากผู้บริจาค (Donated Rib Cartilage) ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่อันตรายน้อย เนื่องจากกระดูกอ่อนซี่โครงเหล่านี้ได้ผ่านการคัดกรองและฆ่าเชื้ออย่างเข้มงวด พิถีพิถัน พร้อมใช้งานสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูก
กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคนั้น นับเป็นวัสดุทางเลือกที่ถือเป็นความก้าวหน้าด้านวิทยาการทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และขยายโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเสริมจมูกเชิงโครงสร้างสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค ทางเลือกใหม่สำหรับผู้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
“กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค” หรือ Donated Rib Cartilage มีกระบวนการเตรียมกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคดังนี้
กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคที่นำมาใช้จะผ่านกระบวนการคัดกรองและเตรียมวัสดุอย่างเข้มงวดจากบริษัทชีวเวชภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น US-FDA หรือ CE Mark เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมจมูก หรือนำไปใช้ในร่างกาย โดยกระบวนการเหล่านี้ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ได้แก่
- Hydroxide Oxidation: กำจัดเชื้อโรคและจุลินทรีย์บนพื้นผิวของกระดูกอ่อนซี่โครง
- Demineralization: ลดปริมาณแคลเซียมที่สะสมในเนื้อเยื่อ กระดูกอ่อนซี่โครงเพื่อคืนความยืดหยุ่นให้กับกระดูกอ่อนซี่โครง
- Lyophilization: การทำแห้งแบบแช่แข็ง ซึ่งช่วยถนอมเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนซี่โครงให้คงสภาพโดยไม่ต้องใช้สารเคมี
- Gamma Ray Irradiation: การฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมมา เพื่อให้มั่นใจว่ากระดูกอ่อนซี่โครงปลอดภัยจากจุลชีพที่อาจก่อโรค
- Freeze-Dried Processing: เตรียมกระดูกอ่อนซี่โครงให้อยู่ในรูปแบบพร้อมใช้งานที่สะดวกและปลอดภัย
กระดูกอ่อนซี่โครงที่ได้จะมีลักษณะเป็น Nonvital Chondrocyte หรือเนื้อเยื่อที่ไม่มีชีวิต แต่ยังคงองค์ประกอบทางโครงสร้างที่สำคัญ เช่น คอลลาเจน และ Proteoglycan ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อ
ผู้ที่เหมาะสมกับการใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการเก็บกระดูกอ่อนจากตนเอง โดยกลุ่มผู้ป่วยที่อาจได้รับคำแนะนำให้ใช้ทางเลือกกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคนี้ ได้แก่
- ผู้ที่มีอายุเยอะและกระดูกอ่อนมีการสะสมแคลเซียมสูง
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคไต ที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ได้
- ผู้ที่มีสุขภาพไม่เหมาะกับการวางยาสลบเป็นเวลานาน
- ผู้ที่เคยผ่าตัดเก็บกระดูกอ่อนมาแล้วจนไม่เหลือเนื้อเยื่อเพียงพอ
- ผู้ที่ต้องการลดเวลาในการผ่าตัดและฟื้นตัว

ข้อดีของกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
- ใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคไม่ต้องผ่าตัดบริเวณหน้าอก
ช่วยลดการเจ็บตัวและแผลเป็นจากการเก็บกระดูกอ่อนซี่โครง
- ใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค ช่วยลดระยะเวลาในการผ่าตัด
การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการวางยาสลบเป็นเวลานาน
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคมีกระบวนการเตรียมวัสดุที่ไม่สงผลลัพธ์อันตรายและควบคุมมาตรฐาน
กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อจะมีความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคเหมาะสำหรับการปรับแต่งรูปทรงจมูก
เนื่องจากกระดูกอ่อนซี่โครงจะมีลักษณะยืดหยุ่นพอสมควร ทำให้สามารถตกแต่งให้เข้ากับโครงสร้างใบหน้าได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังและข้อจำกัดของกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจัดเป็นวัสดุไม่มีชีวิต
กระดูกอ่อนบริจาคไม่มีเซลล์มีชีวิต จึงไม่มีการฟื้นตัวหรือซ่อมแซมตัวเองเหมือนกระดูกอ่อนซี่โครงจากร่างกายตัวเอง
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคมีความเสี่ยงเรื่องการยุบตัว
แม้จะไม่พบได้บ่อย แต่ในบางกรณีอาจมีการดูดซึมของเนื้อเยื่อบางส่วน ซึ่งอาจกระทบต่อรูปทรงจมูกที่ใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคได้ในระยะยาว
- กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจะมีราคาค่อนข้างสูง
เนื่องจากกระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพของกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจะมีความเข้มงวด จึงทำให้วัสดุนี้มีต้นทุนสูงกว่าการใช้กระดูกอ่อนของตัวเอง
กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่มีข้อจำกัดทางสุขภาพ หรือไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดเก็บเนื้อเยื่อจากร่างกายตนเองได้ รวมถึงผู้ที่ต้องการลดความเจ็บปวดและระยะเวลาพักฟื้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัสดุนี้ไม่มีชีวิตและมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า ผู้เข้ารับบริการควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมอย่างละเอียด ทั้งในด้านโครงสร้างใบหน้า ประวัติสุขภาพ และเป้าหมายของผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย และอยู่ได้ในระยะยาว
ความเข้ากันได้กับร่างกายของกระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
แม้ว่ากระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคจะไม่มีชีวิตและไม่ได้มาจากร่างกายของผู้ป่วยเอง แต่จากกระบวนการผลิตและคัดกรองที่เข้มงวด จึงทำให้วัสดุนี้มีความปลอดภัยสูงและมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแทรกซ้อนต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายน้อยมาก วัสดุชีวภาพเหล่านี้ได้รับการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการต่อต้านของระบบภูมิคุ้มกันในระดับที่เป็นอันตราย และสามารถใช้งานร่วมกับเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่สามารถฟื้นฟูหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้เหมือนกับกระดูกอ่อนที่มาจากร่างกายตัวเอง แต่ก็สามารถรองรับโครงสร้างและรักษารูปทรงได้ดีในระยะยาว หากดูแลอย่างเหมาะสมและได้รับการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ความเข้ากันได้กับร่างกาย กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเอง VS กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คนไข้ผู้เข้ารับการทำศัลยกรรมเสริมจมูกจะต้องคิดตามให้ดีนั้นก็ คือ ความเข้ากันได้ของวัสดุในการใช้เสริมร่วมกับการทำศัลยกรรมเสริมจมูกกับร่างกาย ซึ่งมีผลต่อทั้งความปลอดภัยในระยะสั้นและความพึงพอใจของผลลัพธ์ในการเสริมจมูกในระยะยาว โดยกระดูกอ่อนซี่โครงทั้งสองประเภททั้งจากร่างกายตนเองและจากผู้บริจาคมีระดับความเข้ากันได้ที่แตกต่างกัน
กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเอง ถือเป็นวัสดุที่มีความเข้ากันได้กับร่างกายสูงที่สุด เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อจากร่างกายของคนไข้ผู้เข้ารับบริการเอง จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการปฏิเสธหรือการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งกระดูกอ่อนซี่โครงตัวเองยังช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบ การติดเชื้อ หรือการดูดซึมของเนื้อเยื่อได้อย่างมาก นอกจากนี้ กระดูกอ่อนซี่โครงตัวเองยังเป็นวัสดุที่มีชีวิตสามารถฟื้นตัวและปรับตัวเข้ากับเนื้อเยื่อรอบข้างได้ดีกว่ากระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค ทำให้โครงสร้างที่สร้างขึ้นคงรูปและแนบสนิทกับจมูกอย่างสวยงาม และเป็นที่พึงพอใจ
กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค แม้จะผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและเตรียมอย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่มีชีวิต จึงทำให้ร่างกายอาจตอบสนองในลักษณะจำกัดและทำให้มีความเสี่ยงเล็กน้อยในการเกิดการอักเสบหรือการดูดซึมในระยะยาว แม้จะไม่ใช่การแพ้ในรูปแบบของภูมิแพ้ทั่วไป แต่ก็เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อวัสดุภายนอกซึ่งแตกต่างจากเนื้อเยื่อของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การคัดกรองและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้มาก จึงถือว่ายังเป็นทางเลือกที่อันตรายน้อยที่สุดสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้กระดูกอ่อนตนเองได้
เมื่อเปรียบเทียบ “กระดูกอ่อนซี่โครงของตัวเอง” กับ “กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาค” ในแง่ของ ความเข้ากันกับร่างกาย (Biocompatibility) จะพบว่ากระดูกอ่อนซี่โครงจากร่างกายตนเองมีความได้เปรียบชัดเจน ทั้งในด้านการตอบสนองของร่างกาย ความเสี่ยงของการอักเสบที่ต่ำกว่า และความสามารถในการฟื้นตัวและแนบสนิทกับเนื้อเยื่อเดิมได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านสุขภาพ การใช้กระดูกอ่อนซี่โครงบริจาคก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐานสูงเพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุในการเสริมจมูกควรขึ้นอยู่กับการประเมินสุขภาพโดยศัลยแพทย์เฉพาะทาง ทั้งการตรวจสอบประวัติการรักษา และเป้าหมายของผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ความสวยงามที่มาพร้อมกับความปลอดภัยสูงสุด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมีพื้นฐานจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงธรรมชาติของวัสดุแต่ละประเภทและปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้รับบริการแต่ละราย